วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ดราก้อนบอลz

ดราก้อนบอล






ดราก้อนบอล (Doragon Bōru ทับศัพท์จาก Dragon Ball ?) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น ผลงานของโทริยามา อากิระ ลงพิมพ์ในนิตยสารโชเนนจัมป์ตั้งแต่ พ.ศ. 2527 - พ.ศ. 2538 และรวมเป็นฉบับรวมเล่มได้ 42 เล่ม ในประเทศไทยเคยลงตีพิมพ์ใน ทาเล้นท์ และ ซีโร่ ในช่วงก่อนที่มีลิขสิทธิ์การ์ตูน และหลังจากนั้นได้ตีพิมพ์ในหนังสือการ์ตูนบูม ภายใต้ลิขสิทธิ์ของบริษัท เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด






เนื้อเรื่องของดราก้อนบอลเกี่ยวกับการผจญภัยของ ซุน โกคู ในการรวบรวมดราก้อนบอลให้ครบ 7 ลูก เพื่อขอพรหนึ่งข้อจากเทพเจ้ามังกร โดยระหว่างการเดินทางโกคูต้องพบกับเพื่อนฝูงและอุปสรรคต่างๆ



ลักษณะการดำเนินเรื่องช่วงแรก น่าจะเอามาจากเรื่องไซอิ๋ว ซึ่งกำหนดให้ซุนโกคู มีชื่อเดียวกับซุนหงอคง ให้มีปิศาจหมู อูลอน ลักษณะคล้าย ตือโป้ยก่าย



ดราก้อนบอลมีสร้างมาหลายภาคทั้งในฉบับมังงะและอะนิเมะ และยังมีการนำไปทำเป็นวิดีโอเกมหลายภาค และภาพยนตร์ ดราก้อนบอล นำแสดงโดย จัสติน แชตวิน, เอ็มมี รอสซัม และ โจว เหวินฟะ



และในปี พ.ศ. 2552 ดราก้อนบอล ได้ถูกนำมาสร้างใหม่ขึ้นอีกครั้งในชื่อว่า ดราก้อนบอล ไค โดยจะนำเนื้อหาของภาค ดราก้อนบอล Z มาสร้างใหม่ในระบบ High Definition Television (โทรทัศน์ความละเอียดสูง) เนื้อหาจะถูกตัดต่อใหม่ ให้กระชับฉับไวขึ้น เสียงประกอบ และ ดนตรี จะแต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมดให้เหมาะกับยุคนี้ แต่ยังคงใช้นักพากย์เดิม และจะเริ่มออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552 เวลา 09.00 น. (ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น) ทางช่อง ฟูจิทีวี


ความเกี่ยวข้องกับฉบับอะนิเมะ



ในฉบับหนังสือการ์ตูนนั้น ได้ใช้ชื่อ ดราก้อนบอล ตลอดทั้งเรื่อง แต่ฉบับภาพยนตร์การ์ตูนได้ใช้ชื่อแตกต่างกันดังนี้



ดราก้อนบอล (ภาคแรก) (Dragon Ball) ดำเนินเรื่องตามฉบับหนังสือการ์ตูน นับตั้งแต่เริ่มเรื่องจนถึงการแต่งงานของโกคู

ดราก้อนบอล Z (Dragon Ball Z) ดำเนินเรื่องตามฉบับหนังสือการ์ตูนต่อจนจบเล่ม 42 ในภาคจอมมารบู สำหรับภาคแอนิเมชั่น ดราก้อนบอล Z ได้ถูกแบ่ง ออกเป็น 16 sagas




1. Saiyan Saga การต่อสู้กับชาวไซย่า

2. Namek Saga ตามหา ดราก้อนบอลของชาวนาเม็ก เพื่อชุบชีวิตให้กับพิคโคโล่ หยำฉา เท็นชินฮัง และเจาสึ

3. Ginyu Saga ช่วงที่หน่วยรบพิเศษกินิว ปรากฏตัว

4. Freeza Saga การต่อสู้สุดมัน กับเจ้าแห่งจักรวาลอย่าง ฟรีสเซอร์

5. Garlic Junior Saga การต่อสู้กับ Garlic Junior ปรากฏตัวครั้งแรกใน Dragonball Z The Movie 1 : The Dead Zone แต่ใน แอนิเมชัน มาในช่วงที่ โกคู ยังไม่กลับจากการต่อสู้กับฟรีสเซอร์ และ โกฮังเป็นคนส่ง Garlic Junior กลับไปยัง Dead Zone

6. Trunk Saga หนุ่มที่มาจากอนาคต เป็นลูกชายของ เบจิต้า และ บลูม่า มาเพื่อแจ้งข่าวเรื่อง มนุษย์ดัดแปลง แก่พวก โกคู

7. Android Saga มนุษย์ดัดแปลง ออกอาละวาดโลกมนุษย์ เพื่อที่ต้องการ ฆ่า ซุน โกคู ตามคำสั่งของ ดร.เกโร่ (หมายเลข 20) มีทั้งหมด 5 ตัว หมายเลข 16 17 18 19 20

8. Imperfect Cell Saga มนุษย์ดัดแปลงหมายเลข 21 หรือ เรียกอีกชื่อว่า เซลล์ เซลล์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างโดยคอมพิวเตอร์ของ ดร.เกโร่ เพื่อฆ่า ซุน โกคู เซลล์จะมีร่างสมบูรณ์ได้นั้น ต้องดูดกลืน หมายเลข 17 และ 18





9. Perfect Cell Saga ร่างสมบูรณ์ของเซลล์ ได้เสร็จสมบูรณ์จนไม่อาจมีใครต้านทานได้ (เบจิต้า กับ ทรังคซ์)

10.Cell Games Saga เป็นสมัยที่เป็นจุดจบของเซลล์ โดยมี ซุน โกฮัง เป็นผู้ทำลาย

11.Great Saiyan Man Saga โกฮัง ได้เข้า ร.ร. ที่เมือง ซาตาน ซิตี้ และเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม ภายใต้นามว่า เกรท ไซย่า แมน

12.World Tournament Saga เป็นสมัยที่ โกคู ซึ่งตายในสมัย Cell Games Saga ได้กลับลงมายังโลกมนุษย์ 1 วัน เพื่อมาประลองศึกชิงเจ้ายุทธภพ

13.Babidi Saga พ่อมดลูกชายของพ่อมดบิบิดี้ ผู้สร้างจอมมารบู มีสมุนเอกชื่อ ดาบูร่า บาบีดี้ ต้องการ ปลดผนึก จอมมารบู เพื่อทำลายโลก

14.Majin Buu Saga จอมมารบูได้ออกจากไข่ผนึก เพราะการต่อสู้ของ โกคู กับ เบจิต้า ในระดับพลังที่เหนือกว่า ซุเปอร์ไซย่า

15.Fusion Saga สมัยที่เกิดการรวมร่าง ให้กำเนิดยอดนักรบ เพื่อปราบจอมมารบู มี 2 คน 1.Gotenks หรือ โกเท็นคูส เกิดจากการ ฟิวชั่นระหว่าง โกเท็น กับ ทรังคซ์ 2. Vegeto หรือ เบจีโต้ เกิดจากการ ใส่ต่างหู โปตาร่า ระหว่าง โกคู กับ เบจิต้า

16.Kid Buu Saga เป็นสมัยสุดท้ายของดราก้อนบอล z สมัยนี้เป็นการต่อสู้กับ จอมมารบู ตัวแรกสุดที่พ่อมดบิบิดี้ เป็นคนสร้าง และก็พระเอกของเรา ซุน โกคู เป็นผู้ปราบในที่สุด สถานที่ต่อสู้คือ ดาวมหาเทพ - Supreme Kai's Planet

ดราก้อนบอล GT (Dragon Ball GT) ดำเนินเรื่องต่อจากภาค Z แต่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาสำหรับแอนิเมชันโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวข้องกับฉบับหนังสือการ์ตูน

นารูโตะ


อุซึมากิ นารูโตะ (อังกฤษ: Uzumaki Naruto) เป็นตัวละครการ์ตูนจากเรื่อง นินจาคาถาโอ้โฮเฮะ




ชื่อของนารูโตะ


อุซึมากิ มีความหมายว่า "ขดเป็นวง" เป็นสัญลักษณ์ของจิ้งจอกเก้าหางที่โดนผนึกไว้ที่ท้องของนารูโตะ

นารูโตะ มีความหมายได้สองอย่างคือ น้ำวน หรือ คะมะโบะโกะ (ลูกชิ้นปลาชนิดหนึ่งที่มีสีขาวและชมพูโดยมีลวดลายเป็นวงตรงกลาง) นิยมใส่ในราเม็ง ซึ่งเป็นอาหารโปรดของนารูโตะ
 




ประวัติของนารูโตะ


พ่อคือโฮคาเระรุ่น4 ทำไห้นารูโตะเกิดมา สงคมรังเกียจโดยโฮคาเงะรุ่นที่ 4 ผู้สละชีวิตตัวเองต่อสู้กับปีศาจจิ้งจอกเก้าหางและผนึกจิ้งจอกเก้าหางลงไปในตัวนารูโตะ จึงสามารถฝึกวิชาของรุ่นที่4ได้ง่ายกว่าใครๆอย่างกระสุนวงจักรและรวมทั้งวิชาพื้นฐานด้วย เนื่องจากนารูโตะได้รับอิทธิพลมาจาก จิ้งจอกเก้าหางโดยตรงทำให้นารูโตะมีจักระที่เยอะมากกว่าคนอื่นในระดับเดียวกัน นารูโตะเติบโตมากับความโดดเดี่ยวที่ไม่มีพ่อและแม่ และมากกว่านั้นนารูโตะโดนนินจาและผู้ใหญ่ในหมู่บ้านคนอื่นเกลียดชัง เนื่องจากในตัวนารูโตะนั้นมีจิ้งจอกเก้าหาง จึงทำให้คน,นินจาในหมู่บ้านเกลียดนารูโตะเพราะคิดว่านารูโตะเป็นปีศาจ อูมิโนะ อิรุกะอาจารย์คนแรกของนารูโตะเป็นคนที่ให้ความสำคัญและดูแลเอาใจใส่นารูโตะเหมือนลูก อิรุกะเข้าใจความรู้สึกของนารูโตะเนื่องจากมีชีวิตในวัยเด็กเหมือนกัน ที่สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก และ จิ้งจอกเก้าหางที่ผนึกอยู่ในร่างของนารูโตะนั้นฆ่าพ่อแม่ของอิรุกะอีกด้วย 12 ปีต่อมานารูโตะตัวแสบของหมู่บ้านโคโนฮะเข้าสอบเพื่อเลื่อนเป็นเกะนินแต่ไม่สำเร็จ และ ได้ถูกมิซึกิหลอกให้ไปเอาคัมภีร์ที่รวบรวมวิชานินจามาให้ เพื่อตนเองจะได้เอาไปและให้นารูโตะเป็นแพะรับบาป แต่ อิรุกะได้มาช่วยนารูโตะไว้ มิซึกิได้บอกว่าในตัวนารูโตะมีตัวจิ้งจอกเก้าหางอยู่ในตัว และ ได้ฆ่าพ่อแม่ของอิรุกะ นารูโตะได้เรียนวิชานินจากับซาซึเกะ,ซากุระ และ ครูคาคาชิซึ่งร่วมมือกันในภารกิจต่างๆในหน่วย 7 โดยเฉพาะภารกิจที่ช่วยคุ้มครองการสร้างสะพาน ตอนภาคสอง นารูโตะและซากุระพร้อมกันไปช่วย กาอาระ{คาเซคาเงะ}ที่โดนกลุ่มแสงอุษาลักพาตัวไป

ฉายา นินจาจอมเพี้ยน-นินจาอันดับหนึ่งด้านเหนือความคาดหมาย,แหกกฏ,เจ้าทึ่ม สมองนิ่ม(ซาซึเกะเรียก)



นารูโตะเป็นนินจาที่ค่อนข้างจะโชคดีในเรื่องโชคลาภ เพราะในตอนที่จิไรยะเอาเงินของนารูโตะไปใช้เลยทำให้เงินหมด แต่เพราะไปเล่นเสี่ยงโชคขูดสลากครั้งเดียว นารูโตะสามารถเอาเงินกลับคืนมาได้หมด

สแลมดังก์

ทีมโชโฮคุ







ซากุรางิ ฮานามิจิ

ซากุรางิ ฮานามิจิ (ญี่ปุ่น: 桜木花道 Sakuragi Hanamichi ?) ซากุรางิ เป็นพระเอกของเรื่อง เป็นตัวเดินเรื่องโดยตลอด เริ่มเล่นบาสเกตบอลเพราะตกหลุมรัก อาคางิ ฮารุโกะ ด้วยพรสวรรค์และความพยายามของตัวเองทำให้ซากุรางิมีความสามารถเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็วโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว และยังเป็นกำลังสำคัญให้ทีมบาสเกตบอลโรงเรียนโชโฮคุโดยการฝึกเล่นบาสไม่กี่เดือน พรสวรรค์อย่างแรกที่ตัวซากุรางิค้นพบคือการรีบาวด์ และการเลย์อัพชูต และสุดท้ายคือการดังก์อันทรงพลัง นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นอีกจุดหนึ่งก็คือ "ความสามารถในการชักนำทีม" ซากุรางิ ได้รับการฝึกฝนและคำแนะนำจากโค้ชอันไซ รุ่นพี่อายาโกะและอาคางิ ทั้งการฝึกพื้นฐานการเลี้ยงลูก เลย์อัพ และลูกชู้ตพื้นฐาน ( ฝึกชู้ต 20,000 ลูก ) ทำให้เขาได้แสดงผลของการฝึกซ้อมอย่างหนักออกมาโดยการทำคะแนนสำคัญ เอาชนะโรงเรียนเทคโนซังโนในการแข่งระดับประเทศ

วันเกิด : 1 เมษายน

สูง 189.2 ซม./หนัก 83 กก.

ตำแหน่ง : เพาเวอร์ฟอร์เวิร์ด

หมายเลข : 10

อยู่ปี 1

คำพูดประจำตัว : ฉันมันอัจฉริยะ !

คุณสมบัติพิเศษ : มีทั้งพละกำลัง และความอึด ส่วนด้านการต่อยตีก็ไม่แพ้ใคร

ฉายา : ไอ้หัวแดง

รุคาว่า คาเอเดะ

รุคาว่า คาเอเดะ (ญี่ปุ่น: 流川 楓 Rukawa Kaede ?) เข้ามาเรียนที่โรงเรียนโชโฮคุเพราะเหตุผลที่ว่า โรงเรียนนี้ใกล้บ้านทั้งๆที่มีโรงเรียนหลายโรงเรียนที่มีชื่อเสียงทางบาสเกตบอลเชิญให้ไปเล่น ก็ไม่ไปเล่นให้เพราะโรงเรียนอื่นไกลบ้าน เป็นคนเงียบๆ แต่มีฝีมือการเล่นบาสเกตบอลอยู่ในระดับมือต้นๆ ของมัธยมปลาย เป็นคนที่ ซากุรางิ ฮานามิจิ ตั้งเป้าไว้ว่าเป็นคู่แข่งอันดับหนึ่ง ทั้งการเล่นบาสเกตบอลและเรื่องของความรัก นอกจากนี้รุคาว่ามีความสามารถพิเศษคือสามารถหลับได้ทุกเวลา แม้กระทั่งขณะขี่จักรยาน มีนิสัยส่วนตัวคือเกลียดความพ่ายแพ้ รุคาว่านั้นเห็น เซนโด เป็นคู่แข่งมาตลอดเนื่องจากเคยพ่ายแพ้ให้กับเซนโดเมื่อตอนแข่งอุ่นเครื่อง หากพูดถึงเรื่องการพัฒนา รุคาว่าถือว่ามีการพัฒนาฝีมือไปไกลมาก เล่นได้ทั้งวงนอกและวงใน การเลี้ยงบอลก็ไม่เป็นรองใคร ชู้ต 3 คะแนนก็แม่นยำ ภายหลังได้รับการบอกกล่าวเป็นนัยๆจากเซนโดถึงเรื่องที่ตัวเขานั้นยังใช้ พรสวรรค์ที่มีอยู่ออกมาไม่หมด ซึ่งก็คือเรื่องของการส่งที่เฉียบขาด เพราะก่อนหน้านี้ รุคาว่าเล่นบาสโดยอาศัยฝีมือการลุยเดี่ยวมาโดยตลอด และวิธีนั้นก็ได้ผลเสมอมา จนกระทั่งได้พบกับ ซาวาคิตะ ซึ่งเป็นนักบาสฝีมือฉกาจ รุคาว่าไม่สามารถผ่านซาวาคิตะไปได้ เขาจึงจำเป็นต้องละทิ้งความภูมิใจบางอย่างไปเพื่อเติมเต็มสิ่งที่เขายังขาด อยู่ซึ่งก็คือการผ่านบอลนั่นเอง ซึ่งก็หมายความว่าหลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันระดับประเทศครั้งนี้ รุคาว่าจะกลายเป็นนักบาสที่สมบูรณ์แบบ

วันเกิด : 1 มกราคม

สูง 187 ซม./หนัก 75 กก.

ตำแหน่ง : สมอลฟอร์เวิร์ด

หมายเลข : 11

อยู่ปี 1

ได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมประจำเขตคานาคาวะ

ติดทีมชาติญี่ปุ่นชุดเยาวชน

ฉายา : หมาจิ้งจอก

อาคางิ ทาเคโนริ

อาคางิ ทาเคโนริ (ญี่ปุ่น: 赤木剛憲 Akagi Takenori ?) เป็นกัปตันทีมบาสเกตบอลโชโฮคุ และเป็นพี่ของ ฮารุโกะ ซากุรางิ ได้ตั้งฉายากอริลลาไว้ให้เพราะหน้าตาคล้ายกับลิงกอริลา โดยอาคางิได้มีความฝันที่ว่าต้องเข้าไปแข่งบาสเกตบอลระดับประเทศให้จงได้ เขาตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนักและก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นตำแหน่ง เซ็นเตอร์อันดับหนึ่งของจังหวัดคานางาวะ อาคางิเป็นคนฝึกซ้อมและสอนบาสเกตบอลให้ซากุรางิ ฮานามิจิ ตลอดเวลาและมีส่วนทำให้พรสวรรค์ทางการ รีบาวด์ของซากุรางิ เกิดขึ้น ท่าประจำตัวของอาคางิคือการกระโดดปัดลูกชู้ตจากคู่แข่ง ซึ่งทรงพลังอย่างมาก ซากุรางิเรียกท่านี้ว่าท่าตีแมลงวัน

วันเกิด : 10 พฤษภาคม

สูง 197 ซม./หนัก 90 กก.

ตำแหน่ง : เซ็นเตอร์

หมายเลข : 4

อยู่ปี 3

ฉายา : กอริลลา

มิยางิ เรียวตะ

มิยางิ เรียวตะ (ญี่ปุ่น: 宮城リョータ Miyagi Ryōta ?) เป็นการ์ดจ่ายความเร็วสูงของทีมโรงเรียนโชโฮคุ เป็นตัวเคลื่อนเกมในการแข่งขัน ขยันวิ่งมากแต่มีจุดอ่อนอยู่ที่การชูตไกลที่ไม่ค่อยจะลงซักเท่าไหร่ มิยางิมีจุดเด่นที่ความเร็วแต่แล้วมิยางิก็ยังไม่ไปไม่ถึงระดับที่เรียกว่าพอยต์การ์ด อันดับหนึ่งของจังหวัดคานางาวะเพราะในจังหวัดคานางาวะมี มาคิ ชินอิจิ อยู่ แต่เมื่อพ้นการแข่งขันระดับประเทศภาคฤดูร้อนไปแล้ว อาคางิ ทาเคโนริ กัปตันทีมโชโฮคุก็ลาออกและยกตำแหน่งกัปตันให้แก่มิยางิเพื่อนสู้ศึกการแข่งขันฤดูหนาวต่อไป

วันเกิด : 31 กรกฎาคม

สูง 168 ซม./หนัก 59 กก.

ตำแหน่ง : พอยต์การ์ด

หมายเลข : 7

อยู่ปี 2

มิสึอิ ฮิซาชิ

มิสึอิ ฮิซาชิ (ญี่ปุ่น: 三井 寿 Mitsui Hisashi ?) ผู้เล่นทรงคุณค่า ในระดับมัธยมต้น ก่อนย้ายมาเรียนในระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนโชโฮคุเพราะโรงเรียนโชโฮคุมีทีมบาสเกตบอลที่อาจารย์อันไซฝึกสอนอยู่ และมิสึอิก็เคารพอาจารย์อันไซอย่างมาก โดยในการเข้าทีมปีแรกนั้นได้พบกับอาคางิ ทาเคโนริซึ่งตอนนั้นยังเป็นผู้เล่นไม่มีชื่ออยู่ แต่แล้วมิสึอิก็ได้รับบาดเจ็บจนตนเองคิดว่าจะกลับมาลงเล่นไม่ได้แล้ว อีกทั้งในขณะซ้อมทีมยังแพ้ให้แก่อาคางิและเกิดอาการเจ็บเข่ากำเริบ จึงได้หันหลังให้วงการบาสเกตบอลไป และได้ไปเข้ากลุ่มกับนักเลงในเมือง และกลับไปก่อกวนทีมบาสโชโฮคุ แต่แล้วมิสึอิก็กลับใจพยามยามรักษาเข่าให้หายและกลับมาเล่นบาสอีกครั้งเพราะได้อาจารย์อันไซสั่งสอนอีกครั้งในระหว่างการชกต่อยกับ ซากุรางิ มิยางิ และรุคาว่า จุดเด่นของมิสึอิคือการชูตลูกในระยะไกล 3 คะแนนเพราะการเลิกเล่นบาสเกตบอลไปนานทำให้ฝีมือต่างๆไม่เหมือนเดิม แต่การกระโดดชูตลูก 3 คะแนนยังเหมือนเดิมอยู่เลยทำจุดเด่นให้เป็นจุดแข็งในสถานะการณ์เฉพาะหน้าจุดอ่อนของมิสึอิคือ หมดแรงเร็วมากเพราะการไปเป็นนักเลงอยู่ช่วงหนึ่งไม่ได้ฝึกซ้อมเล่นบาสเกตบอลอย่างต่อเนื่องทำให้เรี่ยวแรงหายไปหมด

วันเกิด : 22 พฤษภาคม

สูง 184 ซม./หนัก 70 กก.

ตำแหน่ง : ชู้ตติ้งการ์ด

หมายเลข : 14

อยู่ปี 3

โคกุเระ คิมิโนบุ

โคกุเระ คิมิโนบุ (ญี่ปุ่น: 木暮公延 Kogure Kiminobu ?) เป็นรองกัปตันทีมโชโฮคุ มีบทบาทในการช่วยดูแลทีมแทนอาคางิ และตั้งแต่ที่ซากุรางิ และรุคาว่า เข้ามาในทีม เค้าก็กลายมาเป็นตัวสำรองตลอด

วันเกิด : 12 กรกฎาคม

สูง 178 ซม./หนัก 62 กก.

ตำแหน่ง : สมอลฟอร์เวิร์ด

หมายเลข : 5

อยู่ปี 3

ฉายา : เจ้าแว่น
 
ทีมเรียวนัน




เซนโด อากิระ

เซนโด อากิระ (ญี่ปุ่น: 仙道彰 Sendō Akira ?) นักกีฬาบาสเก็ตบอลอัจฉริยะปี 2 แห่งทีมเรียวนัน สามารถเล่นได้หลายตำแหน่งทั้ง FW และ PG เล่นได้ทั้งวงนอกและวงใน ธรรมดาในการแข่งขันจะไม่ปล่อยฝีมือที่มีอยู่ออกมาเต็มที่จนกว่าสถานการณ์ในทีมจะเข้าสู่ภาวะคับขัน เซนโดก็จะเผยความสามารถที่แท้จริงและเข้าพลิกเกมส์ได้อย่างที่ต้องการ แม้ว่าจะเป็นคนแปลกๆดูไม่กระตือรือล้นแต่ว่าเพื่อนร่วมทีมต่างให้ความเชื่อมั่นในตัวเซนโดอย่างมาก เพียงแค่คำพูดเดียวของเซนโดก็เรียกความเชื่อมั่นของสมาชิกในทีมกลับมาได้ แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่มีโอกาสไปแข่งระดับประเทศ เซนโดนั้นมองว่า รุคาว่า และ ซากูรางิ เป็นคู่แข่ง และรอคอยที่จะแข่งขันกับทั้งคู่ หลังจากที่การแข่งขันชิงตั๋วไปอินเตอร์ ไฮ จบลง อุโอสุมิ ลาออกเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เซนโดก็ได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งกัปตันทีมต่อมา

ได้รับรางวัล 1 ใน 5 ผู้เล่นยอดเยี่ยมของเขตคานาคาว่า

เคยดวลกับ ซาวาคิตะ เออิจิ สมัยเรียนอยู่ ม.ต้นแต่เอาชนะไม่ได้

เคยฝ่าด่านของอาคางิแล้วทำแต้มได้ถึง 50 คะแนน

ชอบตกปลา

ส่วนสูง 190 ซ.ม.

มาคิยอมรับว่าเซนโดก้าวเข้ามาอยู่ในระดับเดียวกับตัวเองแล้ว

เป็นผู้ชี้จุดบางจุดที่รุคาว่ายังขาดไป ทำให้รุคาว่าพัฒนาฝีมือขึ้นในการแข่งกับซังโน

มีนักข่าวแอบปลื้มอยู่ขนาดตามทำข่าวแม้ว่าจะไม่ได้ไประดับประเทศก็ตาม

อุโอซูมิ จุน

อุโมสุมิ จุน (ญี่ปุ่น: 魚住純 Uozumi Jun ?) กัปตันทีมบาสของเรียวนัน มีสถานะเป็นทั้งคู่แข่งและเพื่อนรักของ อาคางิ อุโอสุมินั้นสูง 206 ซม. จริงๆแล้วเป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์ในด้านบาสซักเท่าไหร่ แต่ได้รับการชี้แนะจากโค้ชทาโอกะ ในที่สุดจึงได้พยายามฝึกฝนตัวเองจนก้าวมาสู่ตำแหน่งกัปตันทีมเรียวนัน หากเทียบกับกับอาคางิแล้ว อุโอสุมิถือว่าประสบความสำเร็จก่อน แต่ความสามารถยังคงเป็นรอง หลังจากตกรอบคัดเลือกไประดับประเทศ อุโอสุมิก็ลาออกจากการเป็นกัปตันทีม และยกตำแหน่งให้กับเซนโด อากิระ แต่บทบาทก็ยังไม่หมดเพียงแค่นั้นเพราะยังตามไปเชียร์ทีมโชโฮคุ ที่แข่งกับทีมซังโน และยังเป็นผู้ชี้ทางสว่างให้แก่อาคางิ ในช่วงที่กำลังแข่งขันอีกด้วย

มีฉายาว่า "บิ๊กจุน" ซากุรางิเรียกว่า "หัวหน้าลิง" และ "ไอ้หัวหยอง"

มีความใฝ่ฝันว่าจะเป็นกุ๊ก

จุดเดือดต่ำ เสียฟาล์วบ่อยครั้งจนเคยถูกไล่ออกจากสนาม

ทีมไคนัน


มาคิ ชินอิจิ

มาคิ ชินอิจิ (ญี่ปุ่น: 牧紳一 Maki Shin'ichi ?) มาคิ ชินอิจ นักบาส MVP แห่งเขตคานาคาวะ ประสบความสำเร็จตั้งแต่อยู่ปี 1 เล่นตำแหน่งการ์ด แห่งทีม ไคนัน แต่แม้ว่าจะเล่นตำแหน่งนี้ สถิติของการทำแต้มก็ถือว่าสูง เล่นบาสด้วยความฉลาด อ่านเกมขาด จังหวะไหนควรทำฟาล์วคู่ต่อสู้และจังหวะไหนไม่ควรเสี่ยง มีความเป็นผู้นำสูง กระหายในชัยชนะ ภูมิใจในสถาบันของตนเองแต่ก็ไม่เคยประมาททีมคู่แข่งหน้าใหม่ อุปนิสัยเป็นคนเงียบๆขรึมๆจะมีสมาธิอยู่ในเกมส์เสมอ ดูเหมือนไม่คิดอะไรแต่เมื่อโดน ซากุรางิ หาว่าหน้าแก่ก็โมโหเป็นเหมือนกัน นับถือคู่แข่งที่ใจสู้ ระดับความสามารถต้องใช้คนประกบอย่างน้อย 3 คนขึ้นไป มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักบาสเยาวชนทั่วไป

ฉายาว่า ปู่

ส่วนสูง 184 ซ.ม.

นำทีมไคนันเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในการแข่งระดับประเทศ

นักข่าวให้ฉายาว่า "สัตว์ประหลาด"

 ทีมเทคนิคฯ ซังโน

ซาวาคิตะ เออิจิ

ซาวาคิตะ เออิจิ (ญี่ปุ่น: 沢北栄治 Sawakita Eiji ?) นักบาสอัจฉริยะ ปี 2 แห่งทีม ซังโน ได้รับการปลูกฝังให้รักกีฬาจากผู้เป็นพ่อบาสเก็ตบอลตั้งแต่เป็นทารก เพียงแค่อายุ 14 ปีก็สามารถเอาชนะการดวลตัวต่อตัวกับพ่อตัวเองได้แล้ว ชีวิตม.ต้น ไร้คู่แข่งโดยสิ้นเชิงทำให้รุ่นพี่ในโรงเรียนเดียวกันไม่พอใจ จึงย้ายมาเรียนต่อที่เทคนิคซังโน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านบาสอันดับหนึ่ง แต่มันก็ทำให้ซังโนกลายเป็นทีมบาสที่เก่งจนแทบจะหาคู่แข่งมาแข่งด้วยไม่ได้แล้วในประเทศญี่ปุ่นเนื่องจากทีมเก่งเกินไป ซาวาคิตะจึงคิดจะไปเรียนต่อที่อเมริกา ดินแดนที่มีผู้เล่นที่มีความสามารถจะหยุดเขาได้ ซาวาคิตะมีนิสัยคล้ายกับ รุคาว่า ซึ่งชอบเล่นโดยการฉายเดี่ยว บ้าระห่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง เรื่องการดวลตัวต่อตัวยากที่จะแพ้ใคร แม้แต่รุคาว่าก็ไม่อาจผ่านซาวาคิตะไปได้ และยังเคยเอาชนะ เซนโด อากิระ มาแล้วเมื่อสมัย ม.ต้น มีความทะเยอทะยานที่จะแข่งขันกับคู่แข่งที่มีความสามารถ การได้ดวลกับรุคาว่าทำให้เขาตื่นเต้นเพราะได้เจอคู่มือที่ยอดเยี่ยมและมีลักษณะคล้ายกับตัวเอง ซึ่งซาวาคิตะนั้นเหนือว่ารุคาว่าเล็กน้อย

ร้องไห้ง่าย

มักจะโดนคาวาตะแกล้งเป็นประจำ

สมาธิสั้นมากมักจะไขว้เขวง่ายๆ เช่นในตอนที่ ซากุรางิ หลอกว่าเล่นโดยใช้แผน ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีแผนอะไรทั้งสิ้น

แม่มดน้อยโดเรมี

แม่มดน้อยโดเรมี






แม่มดน้อยโดเรมี (ญี่ปุ่น: おジャ魔女どれみ Ojamajo Doremi ?) (อังกฤษ: Magical Doremi) เป็น การ์ตูนญี่ปุ่น แนวสาวน้อยเวทมนตร์ แบบออริจินอล (แต่งเรื่องขึ้นมาเอง ไม่ได้สร้างจากหนังสือการ์ตูน) ที่ทาง โตเอแอนิเมชัน ไม่ได้สร้างมานานถึง 15 ปี แต่งโดย อิซึมิ โทโด ต่อมาได้ถูกนำไปสร้างเป็นอะนิเมะ มังงะ (วาดโดย ชิซึเอะ ทาคานาชิ) และเกม หลายภาคด้วยกัน


เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ ฮารุคาเซะ โดเรมี ได้ไปร้านบ้านเวทมนตร์ แล้วได้ล่วงรู้ถึงตัวจริงของมากิฮาตายามะ ริกะ เจ้าของร้านบ้านเวทมนตร์ ทำให้ริกะกลายเป็นกบ (มาโจริก้า) โดเรมีจึงต้องกลายเป็นแม่มดฝึกหัดเพื่อทำให้มาโจริก้ากลับร่างเดิมให้ได้

powerpuff girls

powerpuff girls




พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ เกิดจากการทดลองที่ผิดพลาดของ ศจ.ยูโทเนียม โดย ศจ.ยูโทเนียม ต้องการเด็กหญิงสมบูรณ์แบบ โดยการผมสมน้ำตาล เครื่องเทศ สารพัดของกุ๊กกิ๊ก และสารเคมี X โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเกิดเป็นเด็กหญิง 3 คนได้แก่ บลอสซัม บัตเทอร์คัพ และ บับเบิลส์ พวกเธอเกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษ และใช้พลังนี้ในฐานะซูเปอร์ฮีโร่เพื่อช่วยปกป้องโลก ส่วน ศจ.ยูโทเนียม เขาก็รับหน้าที่เลี้ยงดูเหมือนกับเป็นพ่อคนหนึ่ง และคอยให้คำแนะนำสั่งสอน 3 สาวเป็นประจำ ทั้งยังคอยประดิษฐ์คิดค้นของใหม่ ๆ ให้กับพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์อีกด้วย

ตัวละครหลัก


บลอสซัม (Blossom)



เด็กหญิงอายุ 5 ขวบ ทั้งยังเป็นผู้นำของพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์อีกด้วย ลักษณะของบลอสซัมคือ ไว้ผมยาวและมีผมสีน้ำตาล ใส่ชุดสีชมพู ตาสีชมพู ผูกโบว์สีแดงที่ผม บลอสซัมเป็นผู้นำกลุ่มพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ มีความเป็นผู้นำสูงจนเกินไป ด้วยลักษณะนิสัยของเธอนี่เองที่ทำให้เธอดูเหมือนเป็นพี่สาวของบับเบิลส์และบัตเตอร์คัพ แต่จริง ๆ แล้วทั้ง 3 คนเกิดมาพร้อมกัน มีพลังไอเย็นน้ำแข็ง ที่ต่างจากบัตเทอร์คัปและบับเบิลส์

บัตเทอร์คัป (Buttercup)



เด็กหญิงอายุ 5 ขวบ ไว้ผมสั้น ใส่ชุดสีเขียว ตาสีเขียว บัตเทอร์คัปเป็นเด็กสาวห้าวในกลุ่มพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ ขี้โมโห โวยวายเหมือนเด็กผู้ชาย ชื่นชอบการต่อสู้ที่มีความรุนแรง ในฉบับภาพยนตร์ของ "เดอะพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์" เปิดเผยว่า ศจ.ยูโทเนียมตั้งชื่อว่า "บัตเทอร์คัป" เพื่อให้มีอักษรนำหน้าด้วย B เหมือนอีกสองคน ชื่อ buttercup เป็นชื่อดอกไม้ชนิดหนึ่ง เป็นพืชไม้ดอกที่เป็นรูปถ้วยสีเหลืองจำพวก Ranunculus

บับเบิลส์ (Bubbles)




คือเด็กหญิง 5 ขวบ ไว้ผมหางม้า ผมสีทอง ใส่ชุดสีฟ้า ตาสีฟ้า ชอบอุ้มตุ๊กตา บับเบิลส์เด็กสาวที่เรียบร้อยพอ ๆ กับความเอ๋อ เป็นคนรักสัตว์ รักธรรมชาติ แต่เมื่อบับเบิลส์เกิดโมโหขึ้นมา ไม่สามารถมีใครหยุดยั้งเธอได้ เธอมีความสามารถในการ คุยภาษาสัตว์และภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาสเปน เป็นต้น

ศาสตราจารย์ยูโทเนียม (Professor Utonium)



เป็นผู้ให้กำเนิดเหล่าพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ ลักษณะของเขาคือชายหนุ่ม ตัวสูงโปร่ง เขาเป็นนักประดิษฐ์ที่มีความสามารถดีคนหนึ่ง ผลงานที่เขาทำส่วนใหญ่จะทำให้พวกพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ใช้ ทั้งยังเป็นพ่อที่ดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ฉะนั้นเขาจึงเป็นพ่อตัวอย่างอีกคนหนึ่ง เขารักพวกพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์เหมือนเป็นลูกสาว ทั้งยังคอยให้การเอาใจใส่ดูแลอย่างดี

Piglet


พิกเลต เป็นหมูสีชมพูตัวเล็ก ( ถ้าไม่บอกก็คงไม้รู้ว่าเป็นหมู ) อาจเป็นเพราะว่ามันตัวเล็ก มันจึงขี้ขลาด ขี้กลัว แต่มันจะอุ่นใจและมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเมื่อมีพูห์มาอยู่ใกล้ๆ อย่างตอนนี้ พิกเลตเจอะเฮฟฟาลัมป์




วันหนึ่งคริสโตเฟอร์ โรบิน กับวินนี่เดอะพูห์ กับพิกเลตกำลังคุยกัน และนั่งกินอะไรซักอย่างด้วยกัน กลางป่า 100 เอเคอร์อยู่ คริสโตเฟอร์ โรบินอวดว่าวันนี้ได้เจอเฮฟฟาลัมป์ตัวหนึ่ง ส่วนพูห์และพิกเลตก็ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองเคยเจอหรือเปล่าเพราะไม่รู้ว่าเฮฟฟาลัมป์เนี่ยหน้าตามันเป็นยังไง ระหว่างทางกลับบ้านพูห์กับพิกเลตวางแผนจะจับเฮฟฟาลัมป์กัน โดยพิกเลตเป็นขุดหลุมทำกับดัก แล้วพูห์ก็จะหาอะไรซักอย่างมาล่อ มันจึงกลับบ้านแล้วไปค้นอะไรบางอย่างในตู้ มันตกลงใจเอาน้ำผึ้งสักโถหนึ่ง...แล้วมันก็เดินตุ้บตั้บหอบโถน้ำผึ้งไปหาพิกเลต พิกเลตขุดหลุมซะลึกเชียว... หลังจากวางกับดักเสร็จ พูห์กับพิกเลตก็กลับไปนอน แต่พูห์ก็นอนไม่หลับซักที นับแกะก็แล้ว แต่เฮฟฟาลัมป์ก็โผล่มาทุกที พูห์ทนไม่ได้ต้องหาอะไรใส่ท้องซักหน่อยเผื่อมันจะนอนหลับสบายก็ได้ เฮ้! ก็โถน้ำผึ้งของพูห์อยู่ในหลุมเฮฟฟาลัมป์ พูห์ตามความหิวไปที่หลุมดัก มันกินไปอย่างเอร็ดอร่อย เลียจนถึงก้นโถ โอ๊ะ! มันเอาหัวยัดเข้าไปในโถแล้ว...แล้วดึงออกไม่ได้ พิกเลตตกใจตื่นขึ้นมาด้วยความกล้าๆ กลัวๆ พอไปถึงที่ปากหลุมมันยิ่งแน่ใจว่าเป็นเฮฟฟาลัมป์แน่นอน พิกเลตจึงบึ่งไปหาคริสโตเฟอร์ โรบิน คริสโตเฟอร์ โรบินผู้มีสติดีที่สุดก็เป็นผู้เฉลยและช่วย เจ้าเฮฟฟาลัมป์ตัวนั้นออกมา.

Mickey Mouse

Mickey Mouse







วอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ (Walter Elias Disney) (5 ธันวาคม 2444 - 15 ธันวาคม 2509, ค.ศ. 1901-1966) เป็นผู้สร้างผลงานการ์ตูนที่แพร่หลาย และประสบความสำเร็จมากที่สุดของโลกคนหนึ่ง เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท วอลต์ ดิสนีย์ และเป็นคนสร้างภาพยนตร์การ์ตูนสีเป็นคนแรก เขาเริ่มทำการ์ตูน มิกกี้เม้าส์ (Mickey Mouse)และ โดนัลด์ดั๊ก (Donald Duck) และเริ่มทำหนังยาว เช่น สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (Snow White and the Seven Dwarfs), แฟนตาเซีย (Fantasia), พินอคคิโอ (Pinocchio) และ แบมบี้ (Bambi)




ตลอดเวลา 43 ปีในอาชีพของดิสนี่ย์ เขาเป็นผู้พัฒนาเทคนิคการถ่ายภาพยนตร์ให้ทันสมัยมากขึ้น เป็นผู้ริเริ่มการสร้างสรร ผลงานที่มีจินตนาการสูง ทำให้ได้ผลงานที่คนทั้งโลกประทับใจไม่รู้ลืม โดยดิสนี่ยได้รับรางวัลออสการ์ไปถึง48รางวัล และ รางวัลเอมมี่ อีก7รางวัล วอล์ท ดิสนี่ย ( วอลเตอร์ เอเลียส ดิสนี่ย์ )ผู้ให้กำเนิด มิคกี้ เมาส์ และเป็นผู้ก่อตั้งสวนสนุกดังระดับโลกอย่าง ดิสนี่ย์ เวิร์ลด์ เกิดเมื่อ 5 ธันวาคม 1901 ที่ชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ เติบโตในครอบครัวชาวนาในมิสซูรี่ ดิสนี่ย์เริ่มสนใจในการวาดรูปเมื่ออายุ 7 ปี และสนใจในการเรียนวาดรูปและถ่ายรูปเมื่ออยู่ที่แม็คคินเลย์ ไฮสคูล



ในปี1918 ดิสนี่ย์ก็ได้ เข้าร่วมกับหน่วยกาชาติ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่1 พอหลังจากสงครามโลกครั้งที่1สงบ ดิสนี่ย์ก็กลับไปยังแคนซัส ซิตี้ ที่ๆเขาเริ่มทำงานด้านการเขียนการ์ตูนประกอบโฆษณาที่นี่ ในปี1920 ดิสนี่ย์ได้ออกแบบ ตัวการ์ตูนที่เป็นแบบฉบับของตัวเองและ เรียนรู้วิธีที่จะทำให้ตัวการ์ตูนนั้นเคลื่อนไหวได้



ในเดือนสิงหาคมปี 1923 ดิสนี่ย์ก็ไปที่ฮอลลิวู้ดเพื่อก่อตั้งสตูดิโอที่นั่น และในปี1928 ดิสนี่ย์ได้สร้าง มิคกี้ เมาส์ และ ปรากฎครั้งแรกในหนังการ์ตูนเงียบที่ชื่อว่าPlane Crazy แต่ว่า ก่อนที่การ์ตูนเรื่องนี้จะออกฉายนั้น ก็เริ่มมีการนำเสียงมาใส่ในภาพยนตร์ ทำให้มิคกี้ เมาส์ก็ได้ปรากฎอยู่ในหนังการ์ตูนที่มีการใส่เสียงเรื่องแรกในโลกที่มีชื่อ ว่า Steamboat Willie ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 1928



ดิสนี่ย์ก็ได้พัฒนาเทคนิคการทำ ภาพยนตร์ต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด เทคนิคการใส่สีในภาพยนตร์อนิเมชั่นก็ถูกนำมาใช้ในหนังอย่าง Silly Symphonies ปี 1932 หนังเรื่องFlowers and Treeของ Walt ก็ได้รับรางวัลออสการ์ครั้งที่32 ในปี1937 ดิสนี่ย์ได้สร้างหนังเรื่อง The Old Mill ซึ่งเป็นหนังสั้นที่นำเอาเทคนิคของmultiplane camera มาใช้



ในวันที่ 21 ธันวาคม ปี1937 ดิสนี่ย์ก็ได้ถือกำเนิด สโนว์ไวท์และคนแคระทั้ง7 ซึ่งเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเพลงเรื่องแรกของเขา และทำรายได้สูงในสมัยนั้น และเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์การ์ตูนชุดยาวของดิสนี่ย์ และก็มีเรื่องอื่นๆตามมาอย่าง พิน็อคคิโอ้ แฟนตาเซีย ดัมโบ้ และ แบมบี้



ในปี1940 เบอร์แบงค์สตูดิโอของดิสนี่ย์ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่มากกว่า 1000 คน ซึ่งประกอบด้วย ช่างศิลป์ อนิเมเตอร์ คนเขียนบท และ ฝ่ายเทคนิค ดิสนี่ย์ก็ใช้เวลาในสตูดิโอนี้เพื่อการสร้างหนังการ์ตูน ซึ่งรวมแล้ว ทั้งหมดก็มีด้วยกันถึง81เรื่องด้วยกัน และผลงานของดิสนี่ย์ก็เป็นสื่อที่ให้การเรียนรู้ได้มากพอๆกับความบันเทิง จนทำให้ได้รับรางวัลจากเรื่องTrue-Life Adventure ซึ่งมีหนังย่อยๆอย่างThe Living Desert,The Vanishing Prairie,The African Lion,และWhite Wilderness โดยหนังเหล่านี้ได้พูดถึงการใช้ชีวิตของสัตว์ป่าทั่วโลก



ในปี1955 ดิสนี่ย์ก็ได้ใช้เงินถึง17ล้านดอลล่าร์ ในการสร้างอาณาจักรบันเทิงอันยิ่งใหญ่อย่าง ดิสนี่ย์แลนด์ และปัจจุบันก็มีคนจากทั่วโลกมากกว่า 250ล้านคน เข้ามาเยี่ยมชม ส่วนงานด้านโทรทัศน์ ดิสนี่ย์ก็เริ่มต้นเมื่อปี 1954 และออกอากาศรายการทีวีที่เป็นภาพสีครั้งแรก กับรายการWonderful World of Colorในปี 1961. ส่วนรายการThe Mickey Mouse Clubและ Zorroก็ได้รับความนิยมมากจากผู้คนในยุค50



ในปี1965ดิสนี่ย์ได้มองถึงปัญหา ของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนอเมริกัน ทำให้ดิสนี่ย์ได้วางแผนที่จะสร้าง EPCOT(Experimental Prototype Community of Tomorrow) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรร ของอุตสาหกรรมอเมริกันที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้(ถ้าใครนึกออก มันก็คือลูกกอล์ฟขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ในดิสนี่ย์เวิร์ลด์) ดังนั้น ดิสนี่ย์จึงซื้อที่ดิน 43 ตารางไมล์ ที่เป็นศูนย์กลางของรัฐฟลอริด้า เพื่อที่จะสร้างดิสนี่ย์ เวิร์ลด์ ซึ่งเป็นทั้งสวนสนุก โรงแรม รีสอร์ท และรวมถึง EPCOT center โดย ดิสนี่ย์ เวิร์ลด์ เปิดวันที่1 ตุลาคม ปี1971 และ EPCOT center เปิด1 ตุลาคม ปี 1982



วอล์ท ดิสนี่ย์ เสียชีวิต วันที่ 15 ธันวาคม 1966 โดยผลงานที่เขาได้สร้างสรรในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ อนิเมชั่น โทรทัศน์ รวมถึงงานบันเทิงด้านอื่นๆนั้น ก็ยังคงเป็นที่จดจำของผู้คนทั่วโลก หรืออาจกล่าวได้ว่า เขานั้นเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพล ในด้านบันเทิงอีกคนหนึ่งในศตวรรษที่20 เลยทีเดียว

Stitch

ประวัติ Stitch






ชีวิต มีความท้าทายรออยู่สำหรับ ลีโล่ เด็กหญิงเหงาๆ ชาวฮาวาย ที่ใช้ชีวิตอยู่กับพี่สาววัย 19 ชื่อ นานี่ สาวน้อยทั้งสองดิ้นรนต่อสู้เลี้ยงดูตนเองแต่อะไรๆ ไม่ได้ดำเนินไปอย่างสวยงามนัก เมื่อ คอบร้า บับเบิลส์ นักสังคมสงเคราะห์จอมเครียดแวะมาเยี่ยม เขาก็พบสองสาวพี่น้องกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาจึงเตือนนานี่ว่า เธอมีเวลาเหลืออีกแค่ 3 วันเท่านั้น ในอันที่จะพิสูจน์ตัวเองว่า เหมาะสมแก่การทำหน้าที่ดูแลลีโล่ได้ หาไม่แล้วสถานการณ์ในบ้านหลังนี้ จะต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน และแล้วในเย็นวันนั้น ลีโล่ก็เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างห้องนอน เธอจึงอธิษฐานขอ "ใครซักคนก็ได้มาเป็นเพื่อน ใครซักคนที่จะไม่วิ่งหนีหนูไป" ก่อนเสริมด้วยว่า "ท่านส่งเทวดามาให้หนูก็ได้ เทวดาที่น่ารักที่สุดที่ท่านมีอยู่น่ะค่ะ"



แต่ ในความจริง ดาวตกดวงนั้นคือยานอวกาศของ สติทช์ สิ่งมีชีวิตประหลาด (ที่รู้จักกันในชื่อ "การทดลอง 626") ซึ่งเพิ่งหนีมาจากดาวทูโร่ นักวิทยาศาสตร์ชื่อ จัมบ้า ผู้สร้างมันขึ้นมาพูดถึงสติทช์ว่า เป็นอะไรที่ "กันกระสุน กันไฟ และคิดได้เร็วยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซะอีก มันมองเห็นได้ในความมืด และยกวัตถุอะไรๆ ที่ใหญ่โตกว่าตัวมันถึง 3 พันเท่าได้ สัญชาตญาณอย่างเดียวของมันก็คือ.. ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสัมผัส" ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย ในสายตาของสมาชิกสภาหญิง แห่งสหพันธ์กาแล็กติค เธอจึงจับจัมบ้าเข้าคุก และพิพากษาให้ส่งตัวสติทช์ ไปยังดาวเคราะห์น้อยไกลลิบ แต่ก่อนที่กัปตันแกนทู จะลงมือกำจัดสติทช์ตามคำสั่ง มันก็ขโมยยานของตำรวจ และบังคับให้พุ่งด้วยความเร็วสูง หนีมายังโลกได้ทันเวลา สมาชิกสภาไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงต้องเสนอว่า จะปล่อยตัวจัมบ้าเป็นอิสระ หากเขาตามจับสติทช์กลับมาได้ และเพื่อจะคอยควบคุมปฏิบัติการของจัมบ้าไว้ ไม่ให้คลาดสายตา เธอจึงส่ง พลีคลี่ย์ เอเลี่ยนผู้สนใจศึกษาโลกมนุษย์เป็นพิเศษ และมีสามขากับตาหนึ่งข้างให้ติดตามมาด้วย (โดยความรู้ทั้งมวลที่พลีคลี่ย์มีเกี่ยวกับโลกนั้น ได้มาจากการดูภาพใน View-master® ล้วนๆ )



ฝ่ายสติทช์นั้นบังคับยานมาถึงโลก และเคราะห์ร้ายดิ่งเข้าใส่รถบรรทุกน้ำตาลทรายเต็มเปา เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่า ตัวเองอยู่ในบ้านดูแลสัตว์หลังหนึ่ง และฉายแววเสน่ห์น่ารักเข้าตา จนลีโล่เก็บมันไปเลี้ยง (พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า สติทช์) ทักษะสุดล้ำหน้า ทำให้มันสามารถเก็บซ่อนแขนขาพิเศษ (จาก 6 เหลือ 4 ข้าง), เสาอากาศและเดือยบนหลังได้ เพื่อให้ตัวเองดูเหมือนหมาหน้าตาพิลึกๆ ตัวหนึ่ง แม้พี่สาวของลีโล่ และลูกจ้างบ้านดูแลสัตว์จะผวาหน้าตาของมัน แต่ลีโล่กลับหลงรักสติทช์ และยืนกรานจะนำกลับไปเลี้ยงที่บ้านให้ได้ ขณะที่สติทช์เองก็รู้ว่า ลีโล่กับนานี่มีที่คุ้มภัย ให้มันรอดจากเงื้อมมือชองจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ได้ มันจึงยินดีที่จะถูกรับตัวไปเลี้ยง และทำตัว "ติดหนึบ" กับครอบครัวใหม่ของมันทันที



แต่ชีวิตใหม่ก็ไม่ได้ราบรื่นเอาซะเลย สติทช์เริ่มสำแดงพฤติกรรมร้ายๆ และสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนแทบจะเรียกได้ว่า เป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน้อยที่สุดแล้วบนโลกใบนี้ เมื่อลีโล่พามันไปร้านอาหารที่นานี่ทำงานอยู่ สติทช์ก็สร้างความพินาศจนนานี่ถูกไล่ออกจากงาน แต่ถึงอย่างนั้นลีโล่ก็ยังปกป้องมัน และกระตุ้นให้มันทำตัวเป็นประชากรตัวอย่าง เหมือนฮีโร่ของเธอคือ เอลวิส เพรสลี่ย์ ด้วย เดวิด คาเวน่า แฟนเก่า และเพื่อนร่วมงานของนานี่ พยายามช่วยให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น ด้วยการชวนไปเล่นโต้คลื่นในตอนบ่าย ซึ่งสติทช์ก็สามารถเอาชนะ อาการเกลียดการเล่นเซิร์ฟของมันได้สำเร็จ แถมยังติดอกติดใจไม่ยอมเลิก จนเมื่อจัมบ้ากับพลีคลี่ย์มาพบเข้า ทั้งคู่ก็ดึงมันให้จมลงใต้น้ำ แต่เดวิดเข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลาคอบ ร้า บับเบิลส์ เห็นภาพความวุ่นวายบนชายหาดเข้าเต็มตา จึงบอกกับนานี่ว่า เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นอกจากแยกตัวลีโล่ไปซะ สติทช์จึงรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่า มันกำลังทำลายครอบครัวน้อยๆ นี้ ขณะที่ความปรารถนาโอฮาน่า ('ohana - ศัพท์ฮาวายเอี้ยน หมายถึงแนวคิดเรื่องครอบครัว ที่จะไม่มีการทอดทิ้ง หรือหลงลืมใครไว้ตามลำพัง) ของลีโล่ก็จางลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อสมาชิกสภาหญิง ไล่จัมบ้ากับพลีคลี่ย์ออก เพราะปฏิบัติการล้มเหลว ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงมือครั้งสุดท้าย ด้วยการไล่ตามสติทช์ ไปถึงบ้านของลีโล่กับนานี่ แล้วพังบ้านนั้นทิ้ง แต่ก็ยังจับตัวสติทช์ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง



ในช่วงเวลาที่อะไรๆ เลวร้ายถึงขีดสุด กัปตันแกนทูก็เดินทางมา พร้อมยานลำยักษ์ เพื่อจับตัวสติทช์ มันหนีไปได้ แต่ลีโล่กลับถูกจับแทน สติทช์ซึ่งตระหนักในที่สุดว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวลีโล่กับนานี่ จึงเกลี้ยกล่อมจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ ให้ร่วมแรงกันช่วยลีโล่ออกมา การไล่ล่าอันดุเดือดทั่วเกาะฮาวายจึงเกิดขึ้น และสติทช์สามารถช่วยลีโล่ออกมาได้สำเร็จ ร้อนถึงสมาชิกสภาหญิง ต้องตัดสินใจออกมาเป็นผู้ควบคุมตัวสติทช์เอง และเกมนี้ดูเหมือนจะจบสิ้นลงในที่สุด แต่.. กฎของเกมก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่ใครๆ คาดคิด!

 
 
 
 
ปัญหา และอารมณ์ขันมีอยู่เหลือล้นในสวรรค์! เมื่อเด็กหญิงขี้เหงาชาวฮาวายชื่อ ลีโล่ อธิษฐานกับดวงดาวขอใครซักคนมาเป็นเพื่อน แล้วเอเลี่ยนจอมซนมหากาฬแห่งจักรวาล ตอบรับคำขอของเธอใน Lilo & Stitch แอนิเมชั่นขบขันสดใส เรื่องใหม่ล่าสุดจาก วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส เรื่องนี้ ที่ซึ่งผสมผสานตัวละครอันน่าจดจำ, เรื่องราวที่เปี่ยมด้วยจินตนาการ กับอารมณ์ขันพิลึกกึกกือ และงานภาพสวยงามเจิดจ้า (เพราะนี่เป็นหนังเรื่องแรกในรอบ 6 ทศวรรษของทางสตูดิโอที่ใช้สีน้ำ!!!)




หนัง เล่าเรื่องราวของหนูน้อยลีโล่ ที่ได้เผชิญหน้าระยะกระชั้น กับเอเลี่ยนทดลองสุดซ่าชื่อ "สติทช์" ซึ่งหนีมาจากดาวแห่งเอเลี่ยน แล้วหล่นลงบนพื้นโลก รูปร่างเล็กจ้อยหน้าตาละม้าย "หมา" ของสติทช์ ทำให้ลีโล่เก็บมันไปเลี้ยงด้วยความรัก ความจริงใจ และความเชื่ออันมั่นคงต่อเรื่อง "โอฮาน่า" ('ohana - ศัพท์ฮาวายหมายถึงครอบครัว) จนสามารถเปิดหัวใจของสติทช์ได้สำเร็จ และมอบสิ่งหนึ่ง ที่มันไม่เคยคาดฝันว่าจะมี นั่นคือ ครอบครัว



ด้วย ภาพบ้านเมืองเขตร้อนเขียวชุ่มฉ่ำ, อารมณ์ขันไม่ธรรมดา และเพลงคลาสสิคของ เอลวิส เพรสลี่ย์ ทำให้ Lilo & Stitch เป็นหนังที่จะพาคนดูเข้าสู่การเดินทางอันแสนรื่นรมย์ผ่านห้วงจักรวาลแอนิเม ชั่น โดยงานชิ้นนี้นับเป็นหนังเรื่องที่ 2 ที่สร้างกันที่แผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่นในฟลอริด้า (Florida Feature Animation) ของดิสนีย์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นสถานที่สร้างผลงานเรื่องดังปี 1998 อย่าง Mulan มาแล้ว



องค์ ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมความโดดเด่นและความสนุกสนานให้แก่ Lilo & Stitch ก็คือซาวด์แทร็คสุดโจ๋ของ "ราชา" เอลวิส เพรสลี่ย์ ซึ่งเป็นผู้ขับร้องเพลงยอดฮิตทั้ง 6 เพลงที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ รวมถึงเวอร์ชั่นใหม่สุดเร้าใจของอีก 2 เพลงดังของเอลวิสคือ Burning Love ซึ่งขับขานโดยนักร้องคันทรี่ ระดับชิงรางวัลแกรมมี่อย่าง วินอนน่า (Wynonna) และ Can't Help Falling in Love ในช่วงเครดิตท้ายเรื่อง ขับร้องโดย A*Teens วงดนตรีพ็อพสุดดังของสวีเดน กับยังได้คอมโพสเซอร์ชื่อก้องอย่าง อลัน ซิลเวสทรี (เข้าชิงออสการ์จาก Forrest Gump) มาเพิ่มสีสันและความแฟนตาซี ให้แก่เรื่องราวเมามันยากจะคาดเดาของหนังเรื่องนี้ ด้วยดนตรีประกอบของเขา ร่วมกับนักดนตรีฮาวายมือฉมัง มาร์ค คีลี โฮโอมาลู (Mark Keali'i Ho'omalu) ในเพลงฮาวายเอี้ยนอีก 2 เพลง ซึ่งแสดงโดยสมาชิกวงคอรัสจาก Kamehameha School Children's Chorus



Lilo & Stitch เป็นหนังเรื่องที่สอง ที่สร้างกันในแผนกแอนิเมชั่นที่ฟลอริด้าของดิสนีย์ โดยทุกส่วนของงานสร้าง (ยกเว้นการวาดดิจิตอลที่ใช้ระบบ CAPS ซึ่งเคยคว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว) เป็นหน้าที่รับผิดชอบของศิลปิน, แอนิเมเตอร์ และช่างเทคนิค 300 ชีวิตที่แผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่นในฟลอริด้านี้



ผู้ รับหน้าที่ดูแล Lilo & Stitch ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงงานสร้างก็คือ ทีมผู้กำกับ/เขียนบท คริส แซนเดอร์ส กับ ดีน เดบลัวส์ โดยแซนเดอร์สเป็นมือเก๋าผู้เก่งกาจ ที่ทำงานกับแผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่น ของดิสนีย์มาตั้งแต่ปี 1987 และเคยทำสตอรี่บอร์ดฉากสำคัญๆ ใน Beauty and the Beast, เป็นโปรดัคชั่นดีไซเนอร์ให้ The Lion King และเป็นหัวหน้าทีมคิดเรื่องของ Mulan มาแล้ว ก่อนจะรับหน้าที่สร้างไอเดียของหนังเรื่องนี้ ส่วนเดอบลัวส์ ซึ่งเคยร่วมงานกับแซนเดอร์ส ในตำแหน่งหัวหน้าร่วมของฝ่ายเรื่องราวใน Mulan ก็สานต่อไอเดีย และนำความสามารถด้านการวางโครงร่างภาพ มาใช้กับโปรเจ็คต์นี้ ทั้งคู่เลือกทำบทให้เป็นสตอรี่บอร์ดด้วยตนเอง แทนที่จะใช้วิธีส่งต่อ ให้เป็นหน้าที่ของแผนกเรื่องราวเหมือนปกติ นั่นทำให้พวกเขาสามารถถ่ายทอดมุมมองของตน ต่อทีมงาน และกำหนดทิศทาง แก่ทีมแอนิเมเตอร์กับทีมสร้างสรรค์ ได้อย่างชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน



ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสร้างตกเป็นของ คลาร์ค สเปนเซอร์ ซึ่งทำงานกับดิสนีย์มานาน 12 ปีโดยเริ่มจากงานด้านวางแผนและการเงิน ล่าสุดเป็นรองประธานอาวุโส กับผู้จัดการทั่วไปของวอลท์ ดิสนีย์ฟีเชอร์แอนิเมชั่นฟลอริด้า ลิซ่า พูล รับหน้าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้าง และ เจฟฟ์ ดัตตัน ผู้ประสานงานฝ่ายศิลปะ มาใช้ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ และการจัดการของเขา ในหน้าที่ดูแลงานสร้าง ให้ได้ผลดีเลิศที่สุดเมื่อปรากฏบนจอ


เนื่อง จากเรื่องราวเกิดขึ้นที่ฮาวาย ทีมงานจึงใช้เวลาไปศึกษาความงามตามธรรมชาติอันน่าทึ่ง ของเกาะสวรรค์แห่งนี้ แซนเดอร์ส, เดอบลัวส์, สลูเตอร์ ผู้กำกับศิลป์, สแตนตัน แบ็คกราวด์ซูเปอร์ไวเซอร์, แอนเดรียส เดจา แอนิเมเตอร์ และทีมงานอีกหลายคนหอบหิ้วกล้อง, พู่กัน และสมุดสเก็ตช์ แล้วมุ่งหน้าสู่ฮาวายเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อศึกษาทิวทัศน์ที่นั่น โดยใช้เวลาส่วนใหญ่บนเกาะคาวี (Kauai) ซึ่งทีมงานทั้งดำน้ำสน็อกเกิล, สกูบ้า, เล่นเซิร์ฟ และเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ อย่าง Hanalei, Hanapepe, หาดนาปาลี, พรินซ์วิลล์ และหาด Ke'e Beach รวมถึงอุทยานแห่งชาติอีกหลายแห่ง เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับใบไม้, พันธุ์พืช, หินลาวา, ทรายสีส้ม, ท้องทะเลสีเทอร์คอยซ์, ภูเขาสีแดงสด และภาพดวงอาทิตย์ตกอันสวยงาม นอกจากนั้น เดจายังไปดูโรงเรียนชนพื้นเมืองฮาวาย ซึ่งเน้นการศึกษาภาษา และวัฒนธรรมประจำเกาะด้วย

doraemon

Doraemon : โดเรม่อน




วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2512 เป็นวันที่เริ่มต้นพิมพ์หนังสือการ์ตูนเรื่อง "Doraemon" ในประเทศญี่ปุ่น โดยจินตนาการของนักเขียนชาวญี่ปุ่นสองคน ที่ใช้นามปากการ่วมกัน ว่า ฟูจิโกะ ฟุจิโอะ โดยตัวการ์ตูนจะเป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ศตวรรษที่ 22 ซึ่งจินตนาการให้เป็นแมวตัวกลมๆ มีความสามารถพิเศษ และกระเป๋าวิเศษที่บรรจุของมากมาย จุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ชาย ที่ขี้แย ไม่เอาไหน คนนึง และสอดแทรกคติธรรมเข้าไป ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก



ชื่อโดราเอมอน มาจากคำว่า...โดราเนโกะ แปลว่าแมวหลงทาง เอมอน เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อน โดราเอมอน เกิดขึ้นโดยความบังเอิญในขณะที่ 2 นักเขียนการ์ตูนชื่อฮิโรชิ ฟูจิโมโต และโมโตโอะ อาบิโกะขณะที่กำลังจินตนาการ สร้างการ์ตูนตัวใหม่ด้วยความลำบาก และกดดัน เนื่องจากเหลือเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงจะถึงกำหนดส่งต้นฉบับ บังเอิญเหลือบเห็นตุ๊กตาของลูกสาว ทำให้นึกต่อไปถึงตุ๊กตา แมว ล้มลุก และกลายเป็นโดราเอมอนในที่สุด



การ์ตูนเรื่องโดเรม่อน มีจุดเด่นในเรื่องของจินตนาการ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ในโลกอนาคต ที่ผู้อ่านทั่วไปคาดไม่ถึง จากปลายปากกาของ อ. ทั้งสอง ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมทั้งสอดแทรกศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเข้าไปในตัวการ์ตูน แบ่งลักษณะนิสัยของคนออกมาในแต่คาแร็คเตอร์ได้อย่างลงตัว เหมือนกับนำเอาชีวิตจริงของผู้อ่านเข้าไปเกี่ยวข้องกับการ์ตูนด้วย ดังนั้นการ์ตูนเรื่องนี้จึงเป็นที่นิยม อ่านได้ทุกเพศทุกวัย จนทำให้มีการพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้มากมาย สามารถขายได้ถึง 100 ล้านเล่มใน ญี่ปุ่น และแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก ถึง 9 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยอีกด้วย นอกจากการ์ตูนแล้ว โดเรม่อน ถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนต์ทางจอเงิน และจอแก้วมากมายหลายตอน โดย ฉายครั้งแรกที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2524 และฉายที่ประเทศไทยเราครั้งแรก วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2525




วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2512 เป็นวันที่เริ่มต้นพิมพ์หนังสือการ์ตูนเรื่อง "Doraemon" ในประเทศญี่ปุ่น โดยจินตนาการของนักเขียนชาวญี่ปุ่นสองคน ที่ใช้นามปากการ่วมกัน ว่า ฟูจิโกะ ฟุจิโอะ โดยตัวการ์ตูนจะเป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ศตวรรษที่ 22 ซึ่งจินตนาการให้เป็นแมวตัวกลมๆ มีความสามารถพิเศษ และกระเป๋าวิเศษที่บรรจุของมากมาย จุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ชาย ที่ขี้แย ไม่เอาไหน คนนึง และสอดแทรกคติธรรมเข้าไป ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก



ชื่อโดราเอมอน มาจากคำว่า...โดราเนโกะ แปลว่าแมวหลงทาง เอมอน เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อน โดราเอมอน เกิดขึ้นโดยความบังเอิญในขณะที่ 2 นักเขียนการ์ตูนชื่อฮิโรชิ ฟูจิโมโต และโมโตโอะ อาบิโกะขณะที่กำลังจินตนาการ สร้างการ์ตูนตัวใหม่ด้วยความลำบาก และกดดัน เนื่องจากเหลือเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงจะถึงกำหนดส่งต้นฉบับ บังเอิญเหลือบเห็นตุ๊กตาของลูกสาว ทำให้นึกต่อไปถึงตุ๊กตา แมว ล้มลุก และกลายเป็นโดราเอมอนในที่สุด



การ์ตูนเรื่องโดเรม่อน มีจุดเด่นในเรื่องของจินตนาการ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ในโลกอนาคต ที่ผู้อ่านทั่วไปคาดไม่ถึง จากปลายปากกาของ อ. ทั้งสอง ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมทั้งสอดแทรกศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเข้าไปในตัวการ์ตูน แบ่งลักษณะนิสัยของคนออกมาในแต่คาแร็คเตอร์ได้อย่างลงตัว เหมือนกับนำเอาชีวิตจริงของผู้อ่านเข้าไปเกี่ยวข้องกับการ์ตูนด้วย ดังนั้นการ์ตูนเรื่องนี้จึงเป็นที่นิยม อ่านได้ทุกเพศทุกวัย จนทำให้มีการพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้มากมาย สามารถขายได้ถึง 100 ล้านเล่มใน ญี่ปุ่น และแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก ถึง 9 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยอีกด้วย นอกจากการ์ตูนแล้ว โดเรม่อน ถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนต์ทางจอเงิน และจอแก้วมากมายหลายตอน โดย ฉายครั้งแรกที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2524 และฉายที่ประเทศไทยเราครั้งแรก วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2525

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

pooh

                             ประวัติหมีพู




 ประวัติ pooh หมีพูห์รู้ดีว่าเขาต้องการอะไรเมื่อ “ท้องเริ่มส่งเสียงร้อง” นั่นคือ น้ำผึ้งไง! อืม... แต่จะทำอย่างไร หากเขาพบเพียงโถเปล่าที่มีน้ำผึ้งเหนียว ๆ ติดอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น “งั้นเราก็ต้องช่วยจัดการให้โถเกลี้ยงเร็ว ๆ หน่ะสิ” เจ้าหมีสมองเล็ก (แต่บางครั้งก็ฉลาดล้ำลึก) วันนี้อาจพยายามหลอกเจ้าผึ้งขี้สงสัยว่าตัวเขาคือเมฆฝนสีดำก้อนใหญ่ หรือถ้าคิดอีกที การแวะไปบ้านกระต่ายเพื่อหาขนมหวานทานดูจะเป็นเรื่องง่ายกว่า (และเจ็บตัวน้อยกว่าด้วย) แต่ไม่ว่าพูห์จะเลือกทำอะไรก็มักจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ แต่ก็นั่นแหล่ะ เขามักจะหาทางออกได้เสมอ เพราะแม้สมองของเขาจะเต็มไปด้วยนุ่น แต่เพื่อนรักของคริสโตเฟอร์ โรบินหรือที่ใคร ๆเรียกว่าเจ้าหมีแก่จอมงี่เง่าตัวนี้มีจิตใจที่งดงาม ..ในชีวิตจริง วินนี่ย์เดอะพูห์ (หรือที่รู้จักกันในชื่อ เอ็ดเวิร์ดแบร์ ในช่วงแรกเมื่อเขาปรากฏตัวใน ‘When We Were Very Young’) คือ ของเล่นสุดรักสุดหวงของคริสโตเฟอร์ มิลล์ (ลูกชายของเอ. เอ. มิลล์) ซึ่งได้รับเจ้าหมีน้อยตัวนี้เป็นของขวัญครบรอบหนึ่งขวบของเขาในปี 1921 ปัจจุบัน วินนี่ย์เดอะพูห์ถูกจัดแสดงให้แฟน ๆ ของการ์ตูนเรื่องดังกล่าวได้ชมกันที่ Children’s Readi Children’s Reading Room ใน New York Public Library บนถนน West 53rd Street ผู้ให้เสียงสำหรับตัวการ์ตูนตัวนี้ คือ สเตอร์ลิง ฮอลโลเวย์ ซึ่งเป็นนักแสดงชื่อดังและนักพากย์ที่สตูดิโอดิสนี่ย์